เพิ่มความฟิตให้ฟินดั่งใจด้วย Continuous Heart Rate Sensor

ช่วงนี้เทรนด์สุขภาพกำลังมาแรง ใครๆ ก็หันมาปั่นจักรยาน เข้ายิม ออกกำลังกายกันเต็มไปหมด และยิ่งในยุคโซเชียลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะแชร์กิจกรรมต่างๆ ให้เพื่อนๆ ได้รับรู้ โดยเฉพาะผู้ที่มีอุปกรณ์ตรวจจับสถิติการออกกำลังกายหรือ Wearable Decive ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในตอนนี้ ก็สามารถแชร์ค่าสถิติต่างๆ มาแข่งขันเพื่อสร้างความท้าทายกับเพื่อนของคุณ แต่มีค่าหนึ่งที่หลายคนคงสงสัยนั่นคือ Heart Rate ว่ามันมีไว้เพื่ออะไร และมีประโยชน์อะไรต่อการออกกำลังของคุณ เราจะมาทำความรู้จักกับเรื่องนี้ไปด้วยกันนะครับ

Heart Rate คืออะไร ?

จริงๆ แล้ว Heart Rate ก็คือชีพจร หรืออัตราการเต้นของหัวใจนั่นเอง โดยจะวัดผ่านการเต้นของหลอดเลือดแดงในระยะเวลา 1 นาที ซึ่งอัตราการเต้นของหัวใจโดยปกติของผู้ใหญ่ จะอยู่ที่ประมาณ 60-100 ครั้งต่อนาที ในขณะพัก

นอกจากนี้ในขณะที่เราออกกำลังกาย กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ จะทำงานมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้กล้ามเนื้อต้องการออกซิเจนเพื่อนำไปใช้ในการเผาผลาญแคลอรี่และสร้างพลังงานให้กับร่างกาย ดังนั้นเมื่อออกกำลังกายมากขึ้น หัวใจของเราจึงเต้นแรงยิ่งขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดที่จะนำพาออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงให้เพียงพอกับความต้องการ

ทั้งนี้ Heart Rate หรืออัตราการเต้นของหัวใจ ถือเป็นสัญญาณชีพที่เป็นตัวบ่งบอกถึงประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ ซึ่งหากมีความผิดปกติเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจากโรคหัวใจ, ภาวะจากการมีไข้ หรือโรคต่างๆ ก็ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ สูงหรือ หรือต่ำ กว่าปกติได้

ที่มา : http://haamor.com

Heart Rate มีประโยชน์ต่อการออกกำลังกายอย่างไร ?

run-heart-rate-720

ในเวลาที่เราเคลื่อนไหวร่างกายเร็วขึ้น หรือใช้แรงในการทำอะไรต่างๆ มากขึ้น เคยสังเกตไหมครับว่า หัวใจของเราจะเต้นแรงขึ้น ยิ่งเวลาที่วิ่งเร็ว หรือเล่นกีฬาหนักๆ ก็จะหายใจแรงขึ้น หัวใจก็เต้นเร็วขึ้นตามไปด้วย ซึ่งอัตราการเต้นของหัวใจนี้เป็นตัวบ่งบอกถึงความฟิตของเรื่องกายในแต่ละคน นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการเผาผลาญแคลอรี่อีกด้วย ซึ่งจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับอัตราการเต้นของหัวใจ ยิ่งสูงมากเท่าไรก็ยิ่งเผาผลาญได้มากเท่านั้น โดยอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดที่ร่างกายรับได้ จะขึ้นอยู่กับเพศ และอายุ รวมถึงสุขภาพของแต่ละคนด้วย

นอกจากนี้เพื่อติดตามผลการออกกำลังกายให้ได้ตามเป้าหมาย จึงต้องมีการวัดอัตราการเต้นของหัวใจอย่างต่อเนื่องเพื่อใช้ในการคำนวนการเผาผลาญแคลอรี่ โดยเราจะต้องทราบ Maximum Heart Rate หรืออัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด ของคุณเสียก่อน เพื่อที่จะใช้ในการกำหนดเป้าหมายของระดับ Traget Heart Rate ที่เหมาะสมกับตัวเรา โดย Traget Heart Rate ส่วนใหญ่จะมีการแบ่งเป็น 5 โซน คือ

  • โซน 1 เป็นระดับง่าย ใช้ในการอุ่นเครื่องหรือวอร์มร่างกาย การเผาผลาญมีเพียงเล็กน้อย และใช้ไขมันเพียงเล็กน้อยในการเผาผลาญ
  • โซน 2 เป็นระดับที่หนักมากขึ้น หรืออาจเรียกว่า Fat Burning Zone ซึ่งเชื่อว่าเป็นช่วงที่มีการเผาผลาญไขมันสูงมากขึ้น
  • โซน 3 เป็นระดับ Cardio Zone ให้การเผาผลาญแคลอรี่ต่อชั่วโมงเพิ่มมากขึ้น และใช้พลังงานครึ่งหนึ่งจากคาร์โบไฮเดรตและอีกครึ่งหนึ่งมาจากไขมัน
  • โซน 4 เป็นระดับ Anaerobic เป็นระดับที่หนัก โดยแคลอรี่จะถูกเผาผลาญมากยิ่งขึ้น โดยจะดึงพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตมากกว่าไขมัน
  • โซน 5 เป็นระดับ ที่หนักมาก การเต้นของหัวใจอาจจะขึ้นไปถึงระดับสูงสุด หรือ Maximum Heart Rate ซึ่งจะเผาผลาญแคลอรี่ได้มากที่สุด จนกลายเป็นสูตรที่นิยมเล่นเป็นโปรแกรมที่เรียกว่า HIIT (High-Intensity Interval Training) ซึ่งเมื่อออกกำลังกายให้แตะถึงระดับนี้ เป็นจังหวะสลับหนักกับเบา จะทำให้ระบบเผาผลาญทำงานต่อเนื่องไปอีก 24-48 ชั่วโมง หลังจากออกกำลังกายเสร็จ

ที่มา : https://www.facebook.com/notes/190147954351610/

exercise_zones

วิธีวัดอัตราการเต้นของหัวใจ

เพื่อให้การออกกำลังกายบรรลุตามเป้าหมายที่เราตั้งไว้ จึงต้องมีเครื่องมือวัดเพื่อใช้ตรวจจับการเผาผลาญแคลอรี่ในแต่ละวัน ซึ่งปัจจุบันนี้มีเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ หรือ Heart Rate Monitor หลากหลายแบบให้เลือก ดังนี้

วัดอัตราการเต้นของหัวใจต่อเนื่อง

เครื่องวัด Heart Rate แบบต่อเนื่องนี้ จะมีเซนเซอร์แบบ Continous Heart Rate โดยจะมีความสามารถในการตรวจจับ Heart Rate ได้ตลอดเวลาในขณะที่สวมใส่ จึงทำให้สามารถเก็บบันทึกสถิติได้อย่างละเอียดยิ่งขึ้น และยังช่วยให้คำนวนการเผาผลาญแคลอรี่ได้อย่างแม่นยำขึ้นด้วย นอกจากนี้มักจะมีหน้าจอที่สามารถดูอัตราการเต้นของหัวใจได้ทันที โดยเฉพาะเวลาที่คุณกำลังออกกำลังกาย ซึ่งจะช่วยให้เราปรับรูปแบบการออกกำลังกายให้มากหรือน้อย ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง และต้องการความแม่นยำสูงในการบันทึกสถิติ โดยอุปกรณ์ที่สามารถวัด Heart Rate ได้ต่อเนื่องมีดังนี้

Fitbit Charge HR – สายรัดข้อมือที่มาพร้อมเซนเซอร์วัด Heart Rate ได้ต่อเนื่อง และสามารถบอกโซนของระดับการเต้นของหัวใจ ว่าการออกกำลังกายของคุณอยู่ในช่วงไหน โดยจะแบ่งเป็น 3 โซน คือ Fat Burn, Cardio, Peak

[block]7[/block]

Fitbit Surge – เป็น Smart Watch ที่มาพร้อมเซนเซอร์วัด Heart Rate แบบต่อเนื่อง ซึ่งมีฟังก์ชั่นเหมือนกับ รุ่น Charge HR แต่มีหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น และใช้ตรวจจับกิจกรรมกีฬาได้มากกว่า ซึ่งเป็นตัว Top ของ Fitbit

[block]8[/block]

Mio Fuse – เป็นสายรัดข้อมือ ที่วัด Heart Rate ได้แบบต่อเนื่องอีกรุ่นหนึ่ง โดยมีจุดเด่นที่สามารถกันน้ำได้ลึกถึง 30 เมตร และใช้งานร่วมกับแอพอื่นๆ ได้หลากหลายเช่น MapMyRun, MapMyRide, Endomondo เป็นต้น รวมถึงซิงค์ร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ ได้ อย่าง bike computers และ GPS watches

mio-96x-1mio-96x-2

วัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบไม่ต่อเนื่อง

ส่วนเครื่องวัดอีกแบบคือเครื่องวัด Heart Rate แบบไม่ต่อเนื่อง โดยการทำงานหลักๆ ผู้ใช้จะต้องสั่งงานด้วยตนเอง เพื่อเปิดฟังก์ชั่นวัด Heart Rate ให้ทำการตรวจวัดเมื่อต้องการ ซึ่งก็จะทำให้การเก็บสถิติไม่ละเอียดเท่ากับแบบต่อเนื่อง ซึ่งเครื่องวัดแบบนี้มักจะนิยมใช้ใน Smart Watch ทั่วไป ที่เน้นการใช้งานเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งมีตัวอย่างดังนี้

Apple Watch – เป็น Smart Watch จากแอปเปิ้ลตัวแรก ที่มาพร้อมเซนเซอร์วัด Heart Rate โดยจะการตรวจจับในทุกๆ 10 นาที ขณะสวมใส่

apple-watch-hrm

Samsung Gear Fit : เป็น Smart Watch สำหรับสาวกซัมซุง โดยเฉพาะ สามารถตรวจจับ นับก้าวเดิน, วัดระยะทาง, ความเร็ว, ความสูง และ Heart Rate ได้ และมีโหมดการออกกำลังกายให้เลือก 4 โหมด คือ วิ่ง, เดิน, ปั่นจักรยาน และปีนเขา โดยสามารถสั่งเปิดปิด การใช้งานร่วมกับ Heart Rate Sensor ได้

gear-fit

คงเห็นข้อแตกต่างของอุปกรณ์วัด Heart Rate ทั้ง 2 แบบกันแล้วนะครับ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายในการใช้งาน ซึ่งหากใครที่ต้องการบันทึกสถิติการเผาผลาญอย่างละเอียดก็ควรเลือก อุปกรณ์ที่มีเซนเซอร์วัด Heart Rate แบบต่อเนื่อง หรือ Continuous Heart Rate Sensor และหากไม่ได้ใช้งานจริงจังขนาดนั้น หรือแค่ต้องการเช็ค Heart Rate ในขณะออกกำลังกาย ก็ให้เลือกรุ่นที่มีเซนเซอร์แบบไม่ต่อเนื่องก็พอครับ

0.00 avg. rating (0% score) - 0 votes

Comments

comments

We will be happy to hear your thoughts

Leave a reply

ช้อปปิ้งออนไลน์ WeMall ห้างสรรพสินค้าออนไลน์ที่แรกในประเทศไทย