สำหรับมือใหม่ที่กำลังเริ่มมองหาอุปกรณ์ตรวจจับการออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็น Activity Tracker, Heart Rate Monitor, Bike Computer หรือ GPS Watch ฯลฯ เมื่ออ่านสเปกของอุปกรณ์เหล่านี้จะต้องเจอกับคำว่า ANT+ ควบคู่มากับ Bluetooth Smart 4.0 ซึ่งหากอุปกรณ์รุ่นไหนที่มีสเปกระบุมาทั้ง 2 อย่าง ก็คงไม่กังวลมากนักเพราะยังไงสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ส่วนใหญ่จะรองรับการเชื่อมต่อกับ Bluetooth อยู่แล้ว แต่พอบางรุ่นรองรับแค่ ANT+ นี่สิ เริ่มคิดหนักเลยว่าจะมีสมาร์ทโฟนรุ่นไหนที่รองรับบ้าง แล้วจะใช้งานได้ดีรึเปล่า เรามาทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ไปด้วยกันนะครับ
ANT+ คืออะไร
จริงๆ แล้ว ANT+ (อ่านว่า แอนท์พลัส) ก็คือมาตรฐานของการสื่อสารไร้สายหรือ Wireless อีกอย่างชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความสามารถใกล้เคียงกับ Bluetooth Smart 4.0 ที่เชื่อมต่อร่วมกับสมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์, อุปกรณ์ Mornitoring หรืออุปกรณ์พกพาอื่นๆ เพื่อรับหรือส่งข้อมูลระหว่างกันได้ โดยจุดเด่นของ ANT+ มีดังนี้
- กินไฟต่ำมาก : สามารถใช้พลังงานจากถ่านกระดุมก้อนเล็กๆ เพื่อเป็นไฟเลี้ยงให้อุปกรณ์ได้เป็นปีๆ
- มีประสิทธิภาพสูงการในจัดเก็บข้อมูล : ใช้พื้นที่น้อยในการจัดเก็บข้อมูล
- ง่ายในการใช้งานมีต้นทุนต่ำ : สามารถควบคุมการใช้งานได้อย่างอิสระเพียงชิปเดียว (สำหรับนักพัฒนา และเจ้าของผลิตภัณฑ์)
- มีความเสถียรในการสื่อสาร : ให้การเชื่อมต่อสัญญาณที่ต่อเนื่อง ไม่หลุดง่าย
ดังนั้นด้วยข้อดีดังกล่าว จึงทำให้อุปกรณ์ตรวจจับการออกกำลังกายต่างๆ นิยมใช้การส่งข้อมูลผ่านมาตรฐาน ANT+ โดยเฉพาะอุปกรณ์ในกลุ่มนักปั่นจักรยาน ไม่ว่าจะเป็น Bike Computer, Cadence Sensor, Heart Rate Monitor ที่ใช้งานแบบกลางแจ้งเป็นเวลานานๆ จึงต้องใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ให้น้อยที่สุด และที่สำคัญ ANT+ มาตอบโจทย์ในเรื่องของการสื่อสารข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้เป็นอย่างดี ทำให้ผู้ใช้งานสามารถซิงค์ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ตรวจจับหรือเซนเซอร์ต่างๆ ไปยังสมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, คอมพิวเตอร์ หรือ Bike Computer เพื่อดูค่ารอบปั่น หรืออัตราการเต้นของหัวใจได้แบบเรียลไทม์
ANT+ ทำอะไรได้อีกบ้าง
นอกจากจะใช้ ANT+ ในการรับส่งข้อมูลในอุปกรณ์ไร้สายต่างๆ แล้ว มันยังสามารถใช้ควบคุมการใช้งานต่างๆ ได้อีกด้วยเช่น ควบคุมการ เปิด ปิด เพลง หรือเพิ่ม ลด เสียง ซึ่งผู้ผลิตอุปกรณ์จะต้องติดตั้งโปรไฟล์ที่รองรับฟังก์ชั่นดังกล่าวลงไป ซึ่งก็คล้ายกับโปรไฟล์ของ Bluetooth ที่จะมีโปรไฟล์ AVRCP ไว้รองรับการควบคุมการเล่นเพลงหรือวิดีโอผ่านสัญญาณบลูทูธนั่นเอง
แต่มีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งที่ ANT+ แตกต่างจาก Bluetooth คือ ยังไม่เห็นอุปกรณ์ตัวไหนที่ใช้ ANT+ ในการส่งสัญญาณเสียงแบบไร้สาย โดยความเห็นส่วนตัวผมคิดว่า คงเป็นเพราะมันถูกออกแบบให้รองรับการส่งข้อมูลขนาดเล็กเท่านั้น เพราะข้อมูลจากอุปกรณ์ฟิตเนสทั้งหลาย จะเป็นเพียงค่าเฉพาะทาง ซึ่งใช้ข้อมูลไม่มาก ในการเก็บบันทึก ดังนั้นเมื่อเทียบกับสัญญาณเสียงที่มีรายละเอียดและข้อมูลใหญ่กว่าหลายเท่า จึงทำให้ ANT+ ไม่เหมาะในจุดนี้
ดังนั้น ANT+ จึงนิยมใช้ในเฉพาะอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้
- Heart rate
- Step count
- Running/walking speed
- Fitness equipment
- Activity
- Bicycle cadence
- Bicycle speed
- Combined bicycle speed and cadence
- Bicycle power
- Bicycle crank torque frequency
- Light electric vehicle
- Speed from non-stride based sensors
- Position
- Continuous Glucose
- Geocache
- Personal fall and emergency response alert
- Temperature
- Remote control for music devices
- Weight
- Blood pressure monitoring
- Muscle oxygen sensors
- Racquet sensors (stroke count & accuracy)
- Foot pressure warning sensors
- Remote control for video camera devices
- Remote control for bike computers
ตัวอย่างอุปกรณ์ที่รองรับ ANT+
Garmin VIRB X, VURB XE – กล้อง Action Camera
Gamin Fenix 3 – MULTISPORT GPS WATCH
Wahoo RPM Cadence Sensor – เซนเซอร์วัดรอบขาปั่นจักรยาน
Mio Fuse – นาฬิกาวัด Heart Rate
ANT+ บนสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต
สำหรับสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตที่รองรับ ANT+ มาในตัว ส่วนใหญ่จะเป็นสมาร์ทโฟน Android ระดับกลาง ถึงระดับบน อย่าง
- Samsung Galaxy S6, Galaxy E5, E7, Galaxy Tab S, Galaxy Note 4 ฯลฯ
- Sony Xperia Z1, Z2, Z3, Z4 Tablet, M2, M4 ฯลฯ
- HTC Desire EYE, Rhyme
สำหรับ iPhone/iPad นั้นจะต้องใช้อะแดปเตอร์ตัวรับสัญญาณ ANT+ เสียบที่ตัวเครื่องเพิ่มเติม ถึงจะรองรับการใช้งานได้ (ตอนนี้ยังไม่มีรุ่นที่เป็นพอร์ต Lightning ต้องใช้อะแดปเตอร์แปลงพอร์ต 30 Pin อีกที)
ส่วนคอมพิวเตอร์ ก็สามารถเสียบ ANT+ USB Stick เพื่อรับสัญญาณได้เช่นเดียวกัน
สรุปแล้วดูเหมือนว่า ANT+ จะรองรับการเชื่อมต่อร่วมกับสมาร์ทโฟนฝั่ง Android เสียมากกว่า ส่วนสาวก Apple อาจจะต้องซื้ออุปกรณ์อะแดปเตอร์รับสัญญาณเพิ่มเติมถึงจะใช้งานร่วมกันได้ ซึ่งเวลาจะเลือกซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสสักตัวก็คงต้องพิจารณาดีๆ ว่าคุ้มรึเปล่า เพราะหากเลือกอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อผ่านบลูทูธได้ด้วย ก็อาจจะดูคุ้มค่ากว่า เพราะไม่ต้องต่อพ่วงอะไรให้รุงรังกับ iPhone แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ใช้เองด้วยนะครับว่าอะไรที่เหมาะกับการใช้งานของคุณมากที่สุด
ข้อมูลอ้างอิง : www.thisisant.com